Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาความรู้และความต้องการปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัย ของพยาบาลประจำการและอาจารย์พยาบาลที่ปฏิบัติงาน ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A study of knowledge and needs of facilitated factors in conducting research of staff nurses and nurse instructors under the jurisdiction of the ministry of public health

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

ประนอม โอทกานนท์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

พยาบาลศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.208

Abstract

การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความรู้เรื่องการวิจัยและความต้องการปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยของพยาบาลประจำการและอาจารย์พยาบาลที่ปฏิบัติงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่างประชากรในการวิจัย คือพยาบาลประจำการที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ จำนวน 280 คน และอาจารย์พยาบาลที่ปฏิบัติงานในวิทยาลัยพยาบาลที่ทำการสอนหลักสูตร 4 ปี จำนวน 150 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชุด ชุดแรกเป็นแบบสอบความรู้เรื่องการวิจัย ชุดที่สองเป็นแบบสอบถามความต้องการปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัย ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง และทดสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ แบบสอบความรู้เรื่องการวิจัยได้นำมาหาระดับความยาก อำนาจจำแนกและค่าความเที่ยงโดยวิธีคูเดอร์-ริชาร์ดสัน 21 ได้ค่าความเที่ยง 0.72 แบบสอบถามความต้องการปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยหาค่าความเที่ยง โดยคำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ได้ค่าความเที่ยง 0.76 วิเคราะห์ข้อมูลโดยแจกแจงความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทดสอบค่าที(t-test)และทดสอบค่าไคสแควร์( -test) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. พยาบาลประจำการและอาจารย์พยาบาลส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องการวิจัยอยู่ในระดับค่อนข้างน้อย 2. ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เรื่องการวิจัยระหว่างพยาบาลประจำการและอาจารย์พยาบาล แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยอาจารย์พยาบาลมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้สูงกว่าพยาบาลประจำการ 3. ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เรื่องการวิจัยระหว่างพยาบาลประจำการ ที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยพยาบาลประจำการที่มีประสบการณ์การทำงาน 1-11 ปี มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้สูงกว่าพยาบาลประจำการ ที่มีประสบการณ์การทำงานเกิน 11 ปี 4. ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เรื่องการวิจัยระหว่างพยาบาลประจำการ ที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5. ความต้องการปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยมีความสัมพันธ์กับหน้าที่ความรับผิดชอบของกลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลประจำการและอาจารย์พยาบาลอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ใน 4 เรื่อง คือ การกำหนดทิศทางการสนับสนุนการทำวิจัยของหน่วยงานอย่างชัดเจน สนับสนุนให้มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยที่ทำทั้งภายในภายนอกหน่วยงาน ให้ลาทำวิจัยได้เฉพาะช่วงเวลาที่จำเป็นโดยไม่นับวันลา และมีตำราวิจัยทางการพยาบาลในห้องสมุดเพียงพอให้ขอยืมได้ และความต้องการปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยมีความสัมพันธ์กับหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 ใน 4 เรื่อง คือส่งเสริมให้มีการนำผลการวิจัยมาใช้ในการปฏิบัติงาน สนับสนุนผู้มีโครงการวิจัยให้ดำเนินงานวิจัยได้โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ทำ แจ้งแหล่งให้ทุนการทำวิจัยทั้งจากภายในภายนอกสถาบัน และช่วยจัดหาแหล่งทุนภายนอกเพื่อสนับสนุนการทำวิจัย ส่วนความต้องการปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยที่มีความสัมพันธ์กับหน้าที่ความรับผิดชอบ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .001 มีเพียงหนึ่งเรื่องคือ จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งของหน่วยงานสำหรับอุดหนุนการทำวิจัย

Share

COinS