Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ผลจากการใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ในการพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แตกต่างกัน

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Results from using group process activites in developing self-confidence of prathom suksa five students with different learning achievements

Year (A.D.)

1987

Document Type

Thesis

First Advisor

ทิศนา แขมมณี

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ประถมศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1987.257

Abstract

วัตถุประสงค์ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อศึกษาผลของการใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ในการพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มที่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ กับกลุ่มที่ไม่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ดังนี้ 1.1 ศึกษาความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ระหว่างกลุ่มที่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์กับกลุ่มที่ไม่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ หลังการทดลอง 1.2 ศึกษาความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลาง ระหว่างกลุ่มที่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ กับกลุ่มที่ไม่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์หลังการทดลอง 1.3 ศึกษาความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ระหว่างกลุ่มที่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ กับกลุ่มที่ไม่ใช่กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ หลังการทดลอง 1.4 ศึกษาความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ำ ของกลุ่มที่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ และกลุ่มที่ไม่ใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ระหว่างก่อนและหลังการทดลอง 2. ศึกษาพัฒนาการความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ระหว่างนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ำ วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งดำเนินการทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดแจงร้อน เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานครปีการศึกษา 2529 จำนวน 60 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยคัดเลือกนักเรียนที่มีคะแนนความเชื่อมั่นในตนเอง ในระดับที่ต่ำกว่าเปอร์เซนไทล์ที่ 25 จากแบบทดสอบวัดความเชื่อมั่นในตนเอง และได้ระดับคะแนน 1 จากการประเมินความเชื่อมั่นในตนเองโดยครูประจำชั้น และครูประจำวิชา จากนั้นจับคู่นักเรียนตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แยกออกเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 30 คน ซึ่งแต่ละกลุ่มประกอบด้วยนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง 10 คน ปานกลาง 10 คน และต่ำ 10 คน แล้วทดลองใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ กับกลุ่มทดลองด้วย กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 10 กิจกรรม กิจกรรมทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้นักเรียนพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองใน 5 ด้าน คือ ด้านความมั่นคงทางจิตใจ ด้านการกล้าแสดงออก ด้านการกล้าตัดสินใจ ด้านการกล้าเผชิญความจริง และด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยใช้เวลาฝึกสัปดาห์ละ 3 ครั้ง รวม 30 คาบ ส่วนกลุ่มควบคุมให้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมปกติ เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้วให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดความเชื่อมั่นในตนเอง พร้อมทั้งครูประจำชั้นและครูประจำวิชาประเมินความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนอีกครั้ง (Post – test) ซึ่งผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1.เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ภายหลังการทดลอง โดยการทอสอบค่าที (t – test) 2. เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ำ ระหว่างกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง หลังการทดลองโดยการทดสอบค่าที (t – test) 3. เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความเชื่อมั่นในตนเอง ของนักเรียน ระหว่างก่อนและหลังการทดลองในกลุ่มเดียวกันโดยการทดสอบค่าที (t – test) 4. เปรียบเทียบคะแนนพัฒนาการระหว่างนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ำ ในกลุ่มทดลอง โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one way analysis of variance) สรุปผลการวิจัย 1. หลังการทดลอง นักเรียนกลุ่มทดลอง ที่เรียนโดยใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ มีคะแนนความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้เรียนโดยใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 2. นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงและต่ำ ของกลุ่มทดลองมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่านักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงและต่ำของกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 จากการวัดด้วยแบบประเมินความเชื่อมั่นในตนเองโดยครู แต่จากการวัดด้วยแบบทดสอบไม่แตกต่างกันที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 และนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลาง ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความเชื่อมั่นในตนเองไม่แตกต่างกัน ทั้งจากการวัดด้วยแบบทดสอบและแบบประเมินความเชื่อมั่นในตนเอง 3. หลังการทดลอง นักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 กล่าวคือ 3.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3.2 นักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลางมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3.3 นักเรียนกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 4. นักเรียนกลุ่มทดลองที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ำมีพัฒนาการของความเชื่อมั่นในตนเองไม่แตกต่างกันที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05

Share

COinS