Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคเอกชนกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้ ตามประมวลรัษฎากร
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Private provident funds and income-tax incentives according to revenue code
Year (A.D.)
1987
Document Type
Thesis
First Advisor
กาญจนา นิมมานเหมินทร์
Second Advisor
ธิติพันธ์ เชื้อบุญชัย
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
นิติศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
นิติศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1987.494
Abstract
ความมั่นคงทางสังคมเป็นสิทธิขั้นมูลฐานประชาชน และเป็นอุดมการณ์ที่แพร่หลายที่สุดอย่างหนึ่งของมวลมนุษยชาติ เป็นที่ยอมรับกันว่าการสร้างความมั่นคงทางสังคม เป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่งของรัฐบาล เพราะนั่นย่อมหมายความถึงความมั่นคงของรัฐบาลเองด้วย ระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นวิธีการสร้างความมั่นคงทางสังคมวิธีหนึ่ง ซึ่งมักใช้เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายในการสงเคราะห์คนชรา คนทุพพลภาพ และคนขาดไร้การอุปการะ ระบบนี้โดยเนื้อแท้แล้ว เป็นการบังคับให้มีการออมทรัพย์ โดยลูกจ้างและนายจ้างต่างจ่ายเงินเข้ากองทุนอย่างสม่ำเสมอ เงินจ่ายเข้ากองทุนบวกด้วยดอกผลที่เกิดขึ้น จะแยกเข้าบันทึกลงในบัญชีของลูกจ้างแต่ละคนและจะจ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือทายาทของลูกจ้าง เมื่อมีเหตุการณ์ที่ระบุไว้เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี รูปแบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในประเทศต่างๆ มีความหลากหลายแตกต่างกัน จนยากที่จะหาคำจำกัดความที่ยอมรับกันทั่วไป วิทยานิพนธ์นี้ ได้ทำการศึกษารูปแบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของประเทศต่างๆ ได้แก่ ประเทศกานา คิริบาติ เคนยา ชิลี ซามัวตะวันตก เซนต์วินเซนต์ เซนต์คริสโตเฟอร์เนวิส แซมเบีย แทนซาเนีย เนปาล ไนจีเรีย ปาปัวนิวกินี ฟิจิ มอนตเซอรัต มาเลเซีย สวาซิแลนด์ สิงคโปร์ ศรีลังกา หมู่เกาะโซโลมอน อินเดีย อินโดนีเซีย และอูกานดา รวม 22 ประเทศ และได้ศึกษาถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพประเทศสิงคโปร์และอินเดีย นอกจากนี้ยังได้ศึกษารูปแบบและสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้ของกองทุนบำนาญเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยเพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบว่า รูปแบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้ตามกฎหมายไทย มีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด และควรเป็นเช่นใดภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทยดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผลจากการศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบ ผู้เขียนพบว่า 1.รูปแบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในประเทศต่างๆ รวมทั้งกองทุนบำนาญในประเทศสหรัฐอเมริกาล้วนมีความมั่นคง และเป็นหลักประกันความมั่นคงทางสังคมของลูกจ้างได้ในระดับหนึ่ง โดยรัฐบาลประเทศส่วนใหญ่มักให้ประโยชน์เสริมอย่างอื่นแก่สมาชิกด้วย นอกจากนี้ยังมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้แก่นายจ้างและลูกจ้างอย่างมากด้วย เพื่อจูงใจและสร้างความสมัครใจ อนึ่ง แหล่งเงินออมภาคเอกชนนี้นอกจากสามารถสร้างความมั่นคงทางสังคมได้ในระดับหนึ่ง เป็นการบรรเทาภาระหน้าที่ของรัฐบาลในด้านนี้ให้ลดน้อยลงแล้ว รัฐบาลยังสามารถผันเงินก้อนนี้ไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยส่วนรวมได้อีกด้วย 2. รูปแบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายไทย ยังมีลักษณะไม่เหมาะสมหลายประการ คือมีลักษณะไม่มั่นคง มีลักษณะจำกัดผู้จัดตั้ง มีลักษณะเปิดโอกาสให้เลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างและจำนวนเงินจ่ายจากกองทุนมีน้อยไม่เพียงพอ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า ควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฉบับที่ 162 (พ.ศ.2526) หลายประการ รวมทั้งควรรีบออกกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อรับรองความเป็นนิติบุคคลของกองทุน 3. สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายไทยมีน้อยเกินไป ไม่จูงใจเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีเงินได้ที่เก็บจากลูกจ้างในกรณีได้รับเงินจ่ายจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นในอัตราสูง และไม่เป็นธรรม ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าควรเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้ให้มากขึ้นและที่สำคัญควรยกเว้นภาษีเงินได้ให้กับลูกจ้างในกรณีดังกล่าว
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ศิริคุณโชติ, สุเมธ, "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคเอกชนกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้ ตามประมวลรัษฎากร" (1987). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 46461.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/46461