Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาความเชื่อด้านสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพ ในโรงพยาบาลในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Study of health beliefs of the Thai muslims rendering health services in hospitals in four southern bordering provinces

Year (A.D.)

1987

Document Type

Thesis

First Advisor

พวงรัตน์ บุญญานุรักษ์

Second Advisor

ฟาริดา อิบราฮิม

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การพยาบาลศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1987.541

Abstract

การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา และเปรียบเทียบ ความเชื่อด้านสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาลในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตัวอย่างประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นชาวไทยมุสลิมที่มาใช้บริการเป็นครั้งแรก จากโรงพยาบาล 4 แห่ง ในเขตสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 290 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์ความเชื่อด้านสุขภาพ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อสำรวจความเชื่อด้านสุขภาพ 6 ด้าน คือ การรับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย การรับรู้ถึงความรุนแรงของการเจ็บป่วย การรับรู้ถึงประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข การรับรู้ถึงอุปสรรคด้านกายภาพ จิตใจ และการเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข แรงจูงใจในด้านสุขภาพทั่วไป และปัจจัยร่วม ได้แก่ ความเชื่อทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ผู้วิจัยได้นำเครื่องมือไปทดสอบความตรงตามเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 8 ท่าน และหาความเที่ยงของแบบสัมภาษณ์ โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา ได้ค่าความเที่ยง .76 การวิเคราะห์ข้อมูใช้วิธีหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วยเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มโดยการทดสอบค่าที วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ในระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ผลของการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. คะแนนความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวม และรายด้าน คือ การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย การรับรู้ถึงความรุนแรงของการเจ็บป่วย การรับรู้ถึงประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข แรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป ความเชื่อทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านการเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข อยู่ในระดับสูง ส่วนการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านกายภาพ และด้านจิตใจอยู่ในระดับปานกลาง 2. เพศหญิงมีคะแนนความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวม และด้านการรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธาณสุขสูงกว่าเพศชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3. ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน มีความเชื่อด้านสุขภาพไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบรายด้านพบว่า ผู้ป่วยนอกมีความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย และแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป สูงกว่าผู้ป่วยในอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีการรับรู้ถึงอุปสรรคในการใช้บริการสาธารณสุข ต่ำกว่าผู้ป่วยในอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. ผู้ที่มีอายุต่างกันมีความเชื่อด้านสุขภาพไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบรายด้านพบว่า ผู้ที่มีอายุ 20 - 30 ปี มีความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงประโยชน์การไปใช้บริการสาธารณสุข และแรงจูงใจในด้านสุขภาพทั่วไปสูงกว่า ผู้ที่มีอายุ 31 – 45 ปี และ 46 – 60 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีการรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณสุขต่ำกว่าผู้ที่มีอายุ 31 – 45 ปี และ 46 – 60 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ที่มีอายุ 31 – 45 ปี มีความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงความรุนแรงของการเจ็บป่วย การรับรู้ถึงประโยชน์ของการไปใช้บริการสาธารณสุขและแรงจูงใจด้านสุขภาพสูงกว่าผู้ที่มีอายุ 46 – 50 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 5. ผู้ที่มีการศึกษาต่างกัน มีความเชื่อด้านสุขภาพไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบรายด้านพบว่า ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา มีความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย การรับรู้ถึงประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข และแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป ต่ำกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษาและการศึกษานอกระบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีการรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณสุขสูงกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา และการศึกษานอกระบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและศึกษานอกระบบมีความเชื่อถ้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณสุขสูงกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา และอุดมศึกษาและมีแรงจูงใจด้านสุขภาพต่ำกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาอย่ามีนัยสำคัญทางสถิติ 6. ผู้ที่มีรายได้ต่างกัน มีความเชื่อด้านสุขภาพไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบรายด้านพบว่า ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 2,500 บาท มีความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยสูงกว่าผู้ที่มีรายได้ 1,001 – 2,500 บาท และ 1,000 บาท ลงไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านจิตใจในการไปใช้บริการสาธารณสุขต่ำกว่าผู้ที่มีรายได้ 1,000 บาทลงไป ผู้มีรายได้ 1,001 – 2,500 บาท มีความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านการเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุขสูงกว่าผู้ที่มีรายได้มากกว่า 2,500 บาท อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไปต่ำกว่าผู้ที่มีรายได้มากกว่า 2,500 บาทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

Share

COinS