Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การเมืองในการริเริ่มนโยบายประกันสังคมของไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Politics of initiation in Thai social insurance policy

Year (A.D.)

1987

Document Type

Thesis

First Advisor

กนก วงษ์ตระหง่าน

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

รัฐศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การปกครอง

DOI

10.58837/CHULA.THE.1987.567

Abstract

ประเทศไทยมีความหมายริเริ่มให้มีนโยบายประกันสังคมมานานกว่า 30 ปี คณะรัฐมนตรีเกือบทุกชุดเคยได้พิจารณานโยบายนี้มาแล้ว แต่ไม่ผ่านการอนุมัติ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างคณะรัฐมนตรี องค์การราชการและกลุ่มผลประโยชน์ในการริเริ่มนโยบายประกันสังคมของไทย กำหนดขอบเขตระยะเวลาศึกษาในช่วงรัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทม์และ รัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (พ.ศ. 2521 – 2529) สมมุมติฐานมีว่าคณะรัฐมนตรี องค์การราชการและกลุ่มผลประโยชน์ชี้ปัญหาไม่เหมือนกัน เป็นผลจากความแตกต่างด้านผลประโยชน์ ค่านิยม และ บรรทัดฐานในการชี้ปัญหา คณะรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจมากกว่ากลุ่มอื่นได้ใช้อำนาจตัดสินใจยับยั้งนโยบายประกันสังคม วิธีการศึกษาใช้การพรรณนาและวิเคราะห์จากข้อมูลซึ่งรวบรวมจากเอกสารชั้นต้นของทางราชการ เอกสารชั้นรอง และข้อมูลจากการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า คณะรัฐมนตรี องค์การราชการ กลุ่มผลประโยชน์ ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างคนงาน ชี้ปัญหาที่นโยบายประกันสังคมมุ่งแก้ไขไม่เหมือนกัน เนื่องจากความแตกต่างทางด้านผลประโยชน์และค่านิยมที่แต่ละฝ่ายยึดถือ ส่งผลให้บรรทัดฐานในการชี้ปัญหาแตกต่างกันไปด้วยองค์การราชการที่เสนอให้มีนโยบายประกันสังคมและฝ่ายลูกจ้างคนงาน ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการขาดหลักประกันในการดำรงชีวิตของลูกจ้างคนงาน ในขณะที่คณะรัฐมนตรีและฝ่ายนายจ้างไม่เห็นว่าลูกจ้างคนงานมีปัญหานี้หรือหากจะมีปัญหาก็มิใช่เรื่องรุนแรงเร่งด่วนคณะรัฐมนตรีเกรงว่าหากให้มีนโยบายประกันสังคม อาจต้องเผชิญกับปฏิกิริยาต่อต้านทั้งจากฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างคนงานบางส่วน ตลอดจนเป็นภาระผูกพันต่องบประมาณแผ่นดิน ทำให้งบประมาณที่จะใช้ในการจัดบริการที่จำเป็นเร่งด่วนด้านอื่นมีน้อยลง กระทบต่อภาพพจน์ชื่อเสียงและเสถียรภาพของคณะรัฐมนตรีได้ คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจตามกฎหมายและทรัพยากรทางการบริหารที่มีอยู่ทั้งยังอาศัยสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้ทางนโยบาย ด้วยการตัดสินใจยับยั้งนโยบายประกันสังคมไว้ก่อน องค์การราชการไม่มีอิทธิพลเพียงพอที่จะโน้มน้าวคณะรัฐมนตรีให้เห็นปัญหาและเห็นชอบตามนโยบายที่เสนอ เพราะการเสนอนโยบายกระทำแบบงานราชการประจำปกติ ส่วนฝ่ายลูกจ้างคนงานซึ่งต้องการให้มีการประกันสังคมเรียกร้องต่อสู้อย่างเลื่อนลอย ขาดเอกภาพและไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี ผู้เขียนได้เสนอแนะให้องค์การราชการและฝ่ายลูกจ้างคนงานร่วมมือกันผลักดันการชี้ปัญหาและการเสนอนโยบายให้ชัดเจนมีความสอดคล้องกันและมีเงื่อนไขที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะฝ่ายลูกจ้างคนงานจำเป็นต้องใช้วิธีการติดต่อสื่อสารกับผู้ตัดสินใจทางการเมือง องค์การของฝ่ายลูกจ้างคนงานด้วยกัน และสาธารณชนในการให้ข้อมูลและความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นการสร้างเงื่อนไขโน้มน้าวให้ผู้ตัดสินใจต้องยอมรับรู้ปัญหาของลูกจ้างคนงานและเห็นชอบต่อนโยบายประกันสังคม.

Share

COinS