Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ต้นทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกแผ่นหญ้าสนาม

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Costs and return on investment in turf crass sods plantation

Year (A.D.)

1987

Document Type

Thesis

First Advisor

วิมาน วิรุฬ์จรรย์

Second Advisor

วรกัลยา วัฒนสินธุ์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

บัญชีมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การบัญชี

DOI

10.58837/CHULA.THE.1987.515

Abstract

ในการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกแผ่นหญ้าสนาม ผู้วิจัยได้สำรวจข้อมูลจากเกษตรกรจำนวน 30 ราย ในเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบไม่เจาะจง ระยะเวลาออกสำรวจตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2530 จากการสำรวจพบว่าเกษตรกรแต่ละรายอาจทำการปลูกหญ้าสนามมากกว่า 1 พันธุ์ โดยพันธุ์หญ้าสนามที่ปลูกเพื่อการค้าได้แก่ หญ้านวลน้อย หญ้ามาเลเซีย หญ้าญี่ปุ่นและหญ้าทิฟกรีน จึงใช้การปลูกหญ้าแต่ละพันธุ์ของเกษตรกรเป็นตัวแทนในการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกหญ้าสนามพันธุ์นั้น การปลูกหญ้านวลน้อยมีจำนวน 30 ตัวอย่าง การปลูกหญ้ามาเลเซียมีจำนวน 13 ตัวอย่าง การปลูกหญ้าญี่ปุ่นมีจำนวน 10 ตัวอย่าง และการปลูกหญ้าทิฟกรีนมีจำนวน 4 ตัวอย่าง จากการศึกษาต้นทุนการปลูกหญ้าสนามแต่ละพันธุ์ รุ่นที่ปลูกในช่วงเดือนตุลาคม ถึงธันวาคม ปีการเพาะปลูก 2529 พบว่าต้นทุนการปลูกหญ้านวลน้อยและหญ้ามาเลเซียจะใกล้เคียงกัน และต้นทุนการปลูกหญ้าญี่ปุ่นจะใกล้เคียงกับต้นทุนการปลูกหญ้าทิฟกรีน โดยต้นทุนการปลูกหญ้าทิฟกรีนสูงที่สุดเฉลี่ยไร่ละ 8,421.02 บาท รองมาได้แก่ ต้นทุนการปลูกหญ้าญี่ปุ่น หญ้ามาเลเซียและหญ้านวลน้อย เฉลี่ยไร่ละ 8,333.80 บาท 7,489.48 บาท และ 7,343.25 บาทตามลำดับ ในส่วนประกอบของต้นทุนการปลูกหญ้าสนาม หญ้าทิฟกรีนมีต้นทุนผันแปรและต้นทุนคงที่เฉลี่ยไร่ละ 7,807.36 บาท และ 613.66 บาท คิดเป็นร้อยละ 92.71 และ 7.29 ของต้นทุนทั้งหมดตามลำดับ หญ้าญี่ปุ่นมีต้นทุนผันแปรและต้นทุนคงที่เฉลี่ยไร่ละ 7,667.70 บาท และ 666.10 บาท คิดเป็นร้อยละ 92.01 และ 7.99 ของต้นทุนทั้งหมดตามลำดับ หญ้ามาเลเซียมีต้นทุนผันแปรและต้นทุนคงที่เฉลี่ยไร่ละ 6,843.59 บาท และ 645.89 บาท คิดเป็นร้อยละ 91.38 และ 8.62 ของต้นทุนทั้งหมดตามลำดับ หญ้านวลน้อยมีต้นทุนผันแปรและต้นทุนคงที่เฉลี่ยไร่ละ 6,678.68 บาท และ 664.57 บาท คิดเป็นร้อยละ 90.95 และ 9.05 ของต้นทุนทั้งหมดตามลำดับ ผลผลิตต่อไร่ของการปลูกหญ้าสนามแต่ละพันธุ์เท่ากัน คือ 1,600 ตารางเมตร เนื่องจากเกษตรกรมีการเตรียมแปลงปลูกหญ้าให้มีพื้นที่ราบสำหรับปลูกหญ้าตามขนาดพื้นที่มาตรฐาน คือ 1 ไร่ เท่ากับ 1,600 ตารางเมตร ดังนั้นผลผลิตของการปลูกหญ้าทิฟกรีน หญ้าญี่ปุ่น หญ้ามาเลเซียและหญ้านวลน้อยมีต้นทุนเฉลี่ยต่อตารางเมตรคือ 5.26 บาท 5.21 บาท 4.68 บาท และ 4.59 บาท ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่า ค่าแรงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในส่วนประกอบของต้นทุนการปลูกหญ้าญี่ปุ่น หญ้ามาเลเซียและหญ้านวลน้อยเฉลี่ยไร่ละ 4,137.34 บาท 3,756.77 บาท และ 3,617.89 บาท คิดเป็นร้อยละ 49.64 50.16 และ 49.27 ของต้นทุนทั้งหมดตามลำดับ ค่าวัสดุการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในส่วนประกอบของต้นทุนการปลูกหญ้าทิฟกรีนเฉลี่ยไร่ละ 4,252.48 บาท คิดเป็นร้อยละ 50.49 ของต้นทุนทั้งหมด สาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการปลูกหญ้าสนามแต่ละพันธุ์มีความแตกต่างกันได้แก่ ลักษณะทางธรรมชาติของหญ้าสนามแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ทำให้ค่าแรงในการปลูกและการดูแลรักษาแตกต่างกัน และราคาจำหน่ายพันธุ์หญ้าแต่ละชนิดแตกต่างกัน ทำให้ค่าพันธุ์หญ้าซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ในส่วนประกอบของต้นทุนค่าวัสดุการเกษตรของหญ้าสนามแต่ละพันธุ์มีความแตกต่างกัน ราคาจำหน่ายหญ้าสนามนอกจากจะขึ้นกับชนิดของพันธุ์หญ้าแล้ว ยังขึ้นกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงฤดูกาลด้วย ช่วงฤดูร้อนราคาจำหน่ายหญ้าสนามจะต่ำกว่าช่วงฤดูหนาว เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้หญ้าสนามของตลาดในช่วงฤดูร้อนจะมีน้อยกว่าในช่วงฤดูหนาว ราคาจำหน่ายเฉลี่ยของหญ้านวลน้อย หญ้ามาเลเซีย หญ้าญี่ปุ่น และหญ้าทิฟกรีน รุ่นที่ปลูกในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ปีการเพาะปลูก 2529 เฉลี่ยตารางเมตรละ 5.70 บาท 6.23 บาท 6.69 บาท และ 8.50 บาท ตามลำดับ จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกหญ้าสนามแต่ละพันธุ์พบว่าหญ้าทิฟกรีนจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงที่สุด รองมาได้แก่หญ้ามาเลเซีย หญ้าญี่ปุ่นและหญ้านวลน้อยตามลำดับ สำหรับการวิเคราะห์ทุกแบบผลการวิเคราะห์ปรากฏดังนี้ การวิเคราะห์สถานภาพด้านรายได้-ค่าใช้จ่ายของเกษตรกรพบว่า เกษตรกรที่ปลูกหญ้าทิฟกรีนมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อค่าขายสูงที่สุดคือ 0.38 รองมาได้แก่ หญ้ามาเลเซีย หญ้าญี่ปุ่น และหญ้านวลน้อย มีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อค่าขาย 0.25 0.22 และ 0.20 ตามลำดับ อัตราส่วนของค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อค่าขายหญ้าทิฟกรีน หญ้ามาเลเซีย หญ้าญี่ปุ่นและหญ้านวลน้อย คือ 0.62 0.75 0.78 และ 0.80 ตามลำดับ การวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจพบว่า การลงทุนปลูกหญ้าทิฟกรีนมีผลตอบแทนเชิงเศรษฐกิจสูงที่สุด คือมีอัตราผลตอบแทนและอัตรากำไรส่วนเกินต่อต้นทุนทั้งหมด 61.60% และ 68.82% รองมาได้แก่หญ้ามาเลเซีย หญ้าญี่ปุ่น และหญ้านวลน้อย มีอัตราผลตอบแทนและอัตรากำไรส่วนเกินต่อต้นทุนทั้งหมดคือ 33.12% และ 41.67% 28.41% และ 36.47% 24.18% และ 33.33% ตามลำดับ การวิเคราะห์ปริมาณผลผลิต ณ จุดคุ้มทุนพบว่า ณ ราคาขาย 8.50 บาทต่อตารางเมตรปริมาณผลผลิต ณ จุดคุ้มทุนของหญ้าทิฟกรีนต่ำที่สุด คือ 169.52 ตารางเมตร รองมาได้แก่ หญ้ามาเลเซีย หญ้าญี่ปุ่น และหญ้านวลน้อย มีปริมาณผลผลิต ณ จุดคุ้มทุนที่ 331.23 ตารางเมตร 350.58 ตารางเมตร และ 4.34.36 ตารางเมตร ณ ราคาขายตารางเมตรละ 6.23 บาท 6.69 บาท และ 5.70 บาทตามลำดับ การวิเคราะห์รายได้-ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสดพบว่า เกษตรกรที่ปลูกหญ้าทิฟกรีนมีกำไรที่เป็นตัวเงินสูงที่สุดเฉลี่ยไร่ละ 7,084.79 บาท คิดเป็นร้อยละ 112.24 ของต้นทุนทั้งหมด รองมาได้แก่ หญ้ามาเลเซีย หญ้าญี่ปุ่น และหญ้านวลน้อย มีผลตอบแทนกำไรที่เป็นตัวเงินเฉลี่ยไร่ละ 4,423.83 บาท 4,506.12 บาท และ 3,657.89 บาท คิดเป็นร้อยละ 75.98 72.93 และ 66.66 ของต้นทุนทั้งหมดตามลำดับ อย่างไรก็ตามในการลงทุนปลูกหญ้าสนามพบว่า เกษตรกรยังประสบกับปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ที่สำคัญได้แก่ปัญหาด้านการผลิต โดยเฉพาะเรื่องของระบบการชลประทานและการขาดความรู้ในเทคโนโลยีด้านการผลิตสมัยใหม่ ฉะนั้น เกษตรกรที่ทำการปลูกหญ้าสนามควรร่วมกัน โดยจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหญ้าสนามขึ้น ดำเนินงานโดยขอความร่วมมือกับหน่วยงานราชการหรือสถาบันทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการจัดระบบการชลประทานที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเผยแพร่วิชาความรู้และเทคโนโลยีด้านการผลิตหญ้าสนามสมัยใหม่ให้แก่เกษตรกร

Share

COinS