Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
พัฒนาการในการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาของไทยในระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2475-2526
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Development of the organizing of secondary education in Thailand under the democratic governance B.E.2475-2526
Year (A.D.)
1988
Document Type
Thesis
First Advisor
ไพฑูรย์ สินลารัตน์
Second Advisor
อมรชัย ตันติเมธ
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
ครุศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
บริหารการศึกษา
DOI
10.58837/CHULA.THE.1988.158
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีจุดหมายเพื่อศึกษาความเป็นมา การเปลี่ยนแปลง และความเหมาะสมของการจัดมัธยมศึกษาไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เข้าสู่ประชาธิปไตยเป็นต้นมา ผลการวิจัยพบว่า ช่วงแรกของสมัยประชาธิปไตย (พ.ศ. ๒๔๗๕ – ๒๔๘๙) มีนโยบายสร้างความเสมอภาคในโอกาสเรียนมัธยมศึกษา ส่งเสริมประชาธิปไตยและความเป็นพลเมืองดี เน้นองค์สามคือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา หลักสูตรจัดเป็นวิชาย่อย การสอนยึดการท่องจำตำราและจดบันทึกคำสอนของครู ประเมินผลด้วยระบบร้อยละ หน่วยงานบริหารมัธยมศึกษาคือกองโรงเรียนรัฐบาล กรมสามัญศึกษาขยายจำนวนโรงเรียนมัธยมศึกษามากขึ้น แต่ตัดสองชั้นสุดท้ายไปให้มหาวิทยาลัยจัดด้วยหวังให้คนหันไปเรียนอาชีวศึกษาได้ง่ายขึ้น มีคุรุสภาบริหารงานบุคคล ส่งเสริมคุณวุฒิและตำแหน่งครูอาจารย์ให้ก้าวหน้ามั่นคงแต่มีงบประมาณน้อย ช่วงตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่สองถึงเริ่มปฏิรูปการศึกษา (พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๕๑๖) ยังคงมีนโยบายสร้างความเสมอภาค เน้นองค์สี่คือเพิ่มหัตถศึกษาเข้ามาด้วย และความต้องการกำลังคนเพื่อพัฒนาประเทศ หลักสูตรยึดสังคมและประสบการณ์รวมวิชาย่อยเข้าเป็นหมวด เรียนด้วยการทำจริง การประเมินผลยังคงใช้ระบบร้อยละ หน่วยงานบริหารมัธยมศึกษาคือกองโรงเรียนรัฐบาล กรมวิสามัญศึกษา จัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาเพิ่มขึ้นให้ทั่วถึงทุกอำเภอ มีการเปิดสอนผลัดบ่าย นำชั้นเตรียมอุดมศึกษากลับมาจัดเองแทนมหาวิทยาลัย และมีโครงการพัฒนาโรงเรียนมัธยมศึกษาหลายรูปแบบ ระยะนี้มีงบประมาณมากขึ้น คุณวุฒิและตำแหน่งของครูดีขึ้น สมัยปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๑๗ – ๒๕๒๖) มีนโยบายการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม เน้นประชาธิปไตย จริยศึกษา พลศึกษา การงานอาชีพ และบูรณาการ มุ่งให้คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น รักการทำงาน หลักสูตรกว้างมีวิชาบังคับและวิชาเลือกซึ่งจัดตามความถนัด ความสนใจ และความสามารถได้หลายแบบ การสอนยึดจุดประสงค์การเรียนรู้ ประเมินผลเป็นรายวิชาด้วยระบบหน่วยการเรียน หน่วยงานบริหารมัธยมศึกษาคือกองการมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษา มีคณะกรรมการข้าราชการครูบริหารงานบุคคล ครูเจริญก้าวหน้าด้านคุณวุฒิและตำแหน่งมากขึ้น จัดว่าความพยายามส่วนรวมเรื่องนโยบาย หลักสูตร องค์การและปัญหาของชาติ มีความสอดคล้องกันตลอดมา แนวโน้มในอนาคตจะมีการเน้นการทำงานและอาชีพอิสระ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การปรับปรุงเกี่ยวกับรายวิชา ระเบียบประเมินผลการมอบอำนาจสู่จังหวัดและโรงเรียนมากขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑. เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของการมัธยมศึกษาไทยในช่วงระยะเวลาที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๕ – ๒๕๒๖ ๒. เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิธีการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาของไทยในแต่ละยุคสมัยของช่วงเวลาดังกล่าว ๓. เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและผลตลอดจนความเหมาะสมของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว วิธีดำเนินการวิจัย ดำเนินการวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ตามขั้นตอนต่อไปนี้ ๑. กำหนดปัญหา สร้างกรอบความคิดเบื้องต้นในการค้นคว้าโดยแบ่งระยะเวลาของเรื่องที่ศึกษาออกเป็นช่วงสมัยต่าง ๆ ตามสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัด และเลือกองค์ประกอบทางการบริหารการศึกษาเป็นประเด็นพิจารณา ๒. รวบรวมข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิและแหล่งทุติยภูมิ ซึ่งเป็นเอกสารในรูปต่าง ๆ เช่น หนังสือ บทความจากวารสาร รายงานการประชุม สัมมนา วิทยานิพนธ์และงานวิจัย กฎหมาย ระเบียบและคำสั่งต่าง ๆ ทางราชการ และการสัมภาษณ์ในขอบข่ายที่เกี่ยวข้อง ๓. วิเคราะห์ข้อมูล ๔. อภิปราย สร้างข้อสมมุติเพื่ออธิบายปรากฏการณ์และอภิปรายความหมาย สรุปผลการค้นพบเรียบเรียงเป็นรายงานการวิจัย สรุปผลการวิจัย การจัดมัธยมศึกษาในช่วงแรกของสมัยที่ประเทศเปลี่ยนแปลงการปกครองมาอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนี้มีนโยบายสร้างความเสมอภาคในโอกาสเรียนมัธยมศึกษาให้เท่าเทียมกัน มุ่งพัฒนาความเป็นพลเมืองดี ความเป็นประชาธิปไตย จริยธรรม เน้นองค์สามคือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และเน้นให้คนหันไปเรียนอาชีพแทนมุ่งมหาวิทยาลัย หลักสูตรแยกออกเป็นวิชาย่อย ๆ ตามความเชื่อเพื่อฝึกให้ชำนาญพื้นฐานเฉพาะด้านแล้วจะรวมกันเป็นความสามารถสูงขึ้นเอง มีการประเมินผลแบบให้ผ่านเกณฑ์ครึ่งหนึ่งของคะแนนรวมทุกวิชา เน้นการใช้วิชาสังคมศึกษาให้พัฒนาประชาธิปไตย การเรียนการสอนยึดครูเป็นศูนย์กลางและเนื้อหาวิชาเป็นหลัก ยึดทฤษฎีการเรียนรู้แบบเก่าของนักจิตวิทยา ซึ่งได้จากผลการทดลองกับสัตว์ ภาพรวมส่วนใหญ่ของวิธีสอนที่ครูใช้คือ ให้ท่องจำตำราและจดบันทึกคำสอนของครู การจัดองค์การมีลักษณะสอดคล้องรับกับนโยบายและหลักสูตร ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของประเทศขณะนั้น กล่าวคือขยายการจัดตั้งโรงเรียนให้มีจำนวนมากขึ้น ตัด ๒ ชั้นปีสุดท้ายไปให้มหาวิทยาลัยจัด เรียกว่าเตรียมอุดมศึกษา เพื่อหันเหคนไปเรียนอาชีพมากขึ้น มีหน่วยงานเจ้าสังกัด คือกองโรงเรียนรัฐบาล กรมสามัญศึกษา ส่วนการบริหารงานบุคคล ขึ้นกับคุรุสภา ซึ่งทำหน้าที่แทน ก.พ. ครูอาจารย์มีความมั่นคงทางราชการและเริ่มมีความเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งและคุณวุฒิแต่ด้านการงบประมาณในช่วงนี้มีน้อย ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองถึงก่อนปฏิรูปการศึกษายังคงมีนโยบายสร้างความเสมอภาคในโอกาสเรียนมัธยมศึกษาเท่าเทียมกันมากขึ้น เน้นองค์สี่คือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา หัตถศึกษา มุ่งมีศีลธรรมจรรยาประชาธิปไตย พลศึกษา และเชิงอาชีพมากขึ้น มุ่งพัฒนาโรงเรียนส่วนภูมิภาค ความคิดของชุมชนมุ่งให้เป็นคนดีเช่นเดียวกับยุคที่แล้ว แต่เพิ่มเรื่องเป็นกำลังคนที่สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาประเทศ ส่วนที่สอนอาชีพโดยตรงจัดเป็นโรงเรียนมัธยมสายอาชีวศึกษาของกรมอาชีวศึกษา หลักสูตรมัธยมศึกษายึดประสบการณ์และสังคมเป็นหลัก เน้นให้ได้รับประสบการณ์ตรง ให้เรียนด้วยการกระทำหรือปฏิบัติจริง การแยกเป็นวิชาย่อยเริ่มเปลี่ยนมารวมเข้าด้วยกัน เป็นหมวดวิชาหรือวิชารวมตามความเชื่อเรื่องบูรณาการ มีการเก็บคะแนนเป็นระยะ ๆ เพื่อประเมินผลตลอดปีเป็นการเรียนการสอนแบบพิพัฒนาการ สอดคล้องนโยบายสมัยนั้น การจัดองค์การก็สนองนโยบายและหลักสูตรเช่นกัน คือขยายการจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาให้มีมากขึ้น กระจายไปถึงทุกอำเภอและเพิ่มปริมาณในรูปเปิดสอนผลัดบ่ายด้วย รวมทั้งรับชั้นเตรียมอุดมศึกษาที่เคยมอบไว้กับมหาวิทยาลัยกลับคืนมาจัดเอง มีการจัดกรมเจ้าสังกัดเป็นกรมวิสามัญศึกษา กองซึ่งเป็นผู้ดูแลโดยตรงคือกองโรงเรียนรัฐบาล มีโครงการพิเศษในรูปต่าง ๆ เพื่อพัฒนาโรงเรียนในขณะที่ระดับชาติกำลังมุ่งพัฒนาประเทศทางวัตถุเช่นสิ่งก่อสร้าง ถนนหนทาง สาธารณูปโภค งบประมาณการศึกษาก็มากจนนำหน้ากระทรวงอื่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งมีเงินช่วยเหลือในรูปให้กู้ยืมจากต่างประเทศด้วย ตำแหน่งและคุณวุฒิครูอาจารย์ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เป็นข้าราชการชั้นเอกได้มากขึ้นในกลุ่มผู้บริหารโรงเรียนก็เป็นได้ถึงชั้นพิเศษ ด้านคุณวุฒิก็มีโอกาสเรียนต่อระดับปริญญาในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และการเปิดสอนภาคค่ำมากขึ้น ในตอนท้ายของช่วงสมัยเรื่องตำแหน่งมีการเปลี่ยนแปลงจากระบบชั้นเป็นระบบระดับตามการจำแนกตำแหน่ง การจัดในเรื่ององค์การ หลักสูตรและนโยบายมีความสอดคล้องรับกัน สมัยปัจจุบันอันเป็นช่วงที่มีการปฏิรูปการศึกษาเกิดนโยบายการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคมคือมุ่งให้คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้ และรักการทำงาน ยังคงเน้นการมีความเสมอภาคแต่เพิ่มการเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณและเน้นที่คุณภาพมากกว่าเดิม ทั้งยังเน้นความเป็นพลเมืองดี ความเป็นประชาธิปไตย จริยศึกษาและพลศึกษา เช่นเดียวกับหลักสูตรเดิมแต่หลักสูตรใหม่นี้เป็นหลักสูตรกว้างที่ไม่แบ่งแยกเป็นแผนกวิทยาศาสตร์ แผนกอักษรศาสตร์หรือศิลปะ และแผนกทั่วไป เหมือนช่วงสมัยที่ผ่านมาแล้ว แต่สามารถจัดแผนการเรียนประกอบด้วยวิชาเลือกต่าง ๆ กันโดยมีวิชาบังคับครบได้มากมายหลายลักษณะ หลักสูตรสมัยนี้มีจุดที่เน้นมากกว่าเดิม คือพลศึกษา กิจกรรม และการงานอาชีพ รวมทั้งหลักการในเรื่องบูรณาการ ระบบการเรียนการสอนและประเมินผลเป็นแบบหน่วยการเรียนซึ่งเข้ามาแทนที่ระบบคะแนนต่อร้อย ซึ่งสร้างความเป็นธรรมและลดความสิ้นเปลืองให้แก่นักศึกษามากขึ้น การสอนในปัจจุบันยึดสังคม สมัยนี้มีกองการมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษาเป็นหน่วยควบคุมดูแลส่งเสริม การจัดสรรงบประมาณมีมากเช่นเดียวกับสมัยประชาธิปไตยช่วงที่สอง การบริหารงานบุคคลมีคณะกรรมการข้าราชการครู (ก.ค.) เป็นผู้จัดแทนที่องค์การเก่าคือคุรุสภา ครูอาจารย์มีความเจริญก้าวหน้าด้านตำแหน่งและคุณวุฒิขึ้นมากในกลุ่มครูผู้สอนก็เลื่อนไปได้ถึงระดับสูงเท่าชั้นพิเศษในอดีต ผลของการจัดองค์การ หลักสูตรและนโยบายสอดคล้องกัน แนวโน้มในอนาคตของการมัธยมศึกษาที่คาดว่าจะมี คือการปรับเนื้อหาบางรายวิชาและเพิ่มรายวิชาให้เหมาะสม การปรับปรุงระเบียบ วิธีประเมินผล การเน้นมากขึ้นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนกับการทำงาน เรื่องวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การมอบอำนาจสู่ระดับจังหวัดและโรงเรียนมากขึ้น เป็นต้น
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
นิยมกูล, วิทยา, "พัฒนาการในการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาของไทยในระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2475-2526" (1988). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 44935.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/44935