Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การป้องกันรังสีในการรักษาโรคมะเร็งของต่อมธัยรอยด์ด้วยไอโอดีน-131
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Radiation protection in I-131 therapy of thyroid cancer
Year (A.D.)
1988
Document Type
Thesis
First Advisor
ร่มไทร สุวรรณิก
Second Advisor
พวงรัตน์ บูรณพงษ์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
นิวเคลียร์เทคโนโลยี
DOI
10.58837/CHULA.THE.1988.592
Abstract
ได้มีการนำไอโอดีน-131 มาใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคมะเร็งของต่อมธัยรอยด์กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากปริมาณกัมมันตภาพรังสีของไอโอดีน-131 ที่ใช้มีขนาดสูง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการพิเศษในการป้องกันอันตรายจากรังสี วิทยานิพนธ์นี้เป็นการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่เข้าพำนักในโรงพยาบาลศิริราช เพื่อรักษาโรคมะเร็งของต่อมธัยรอยด์โดยใช้สารละลายไอโอดีน-131 เพื่อเลือกหาและกำหนดมาตรการในการป้องกันอันตรายจากรังสีสำหรับเจ้าหน้าที่ ผู้เข้าเยี่ยม สาธารณชน และต่อผู้ป่วยเอง การดำเนินการประกอบด้วยการออกแบบวิธีการให้สารละลายไอโอดีน-131 แก่ผู้ป่วยในระบบปิด เพื่อป้องกันการระเหยของไอโอดีนสู่บรรยากาศและป้องกันการทำหก วิธีการให้ไอโอดีนแก่ผู้ป่วยที่พัฒนาขึ้นมีความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด และปลอดภัย โดยมีปริมาณไอโอดีน-131 เหลือตกค้างอยู่ในขวดเพียงร้อยละ 1.6 ± 1.3 (n = 57) ในการใช้เทอร์โมลูมีเนสเซน โดสิมีเตอร์ วัดปริมาณรังสีที่อวัยวะสืบพันธ์ และกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วย พบว่าอวัยวะสืบพันธ์และกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วยทั้งชายและหญิงได้รับปริมาณ รังสีสูงมากในวันแรก แต่จะลดลงอย่างรวดเร็วในวันต่อๆมา ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณกัมมันตภาพรังสีที่ถูกขับถ่ายในปัสสาวะ การวัด เอกซ์โพเชอเรทจากตัวผู้ป่วยแต่ละวันด้วยเครื่องเซอร์เวย์ มิเตอร์ ให้ข้อมูลในการกำหนดระยะเวลาที่เจ้าหน้าที่หรือพยาบาล จะเข้าไปปฏิบัติงานกับผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย และกำหนดวันที่ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ สำหรับผู้ป่วยที่ได้ดื่มไอโอดีน-31 จำนวน 100 มิลลิคูรี หลังจากนั้นทันที เจ้าหน้าที่พยาบาลสามารถอยู่ปฏิบัติงานที่ระยะห่าง 1 เมตร จากผู้ป่วยได้เฉลี่ยเป็นเวลานาน 9 นาที โดยจะไม่ทำให้ได้รับรังสีเกินระดับปริมาณรังสีสูงสุดที่กำหนดให้รับได้ ที่ 24 และ 48 ชั่วโมง ระยะเวลาที่เจ้าหน้าที่สามารถอยู่ปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยจะยืดเป็น 36 และ 80 นาที ตามลำดับ ดังนั้นการให้การ รักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยที่ได้ดื่มไอโอดีน-131 ตามความจำเป็นปกติซึ่งไม่กินเวลานาน ย่อมไม่ทำให้เจ้าหน้าที่พยาบาลได้รับอันตรายจากการแผ่รังสี พบว่าการให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ ไม่ได้ช่วยทำให้ปริมาณกัมมันตภาพรังสีที่เหลืออยู่ในตัวผู้ป่วยลดลงเร็ว ไอโอดีน-131 จะถูกขับถ่ายออกมาในบัสสาวะอย่างรวดเร็ว เป็นปริมาณโดยเฉลี่ยถึงร้อยละ 53, 6.8 และ 1.3 ในวันที่ 1 ถึง 3 ตามลำดับ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการ ในการเก็บหรือกำจัดบัสสาวะของผู้ป่วยอย่างน้อยใน 2 วันแรก สำหรับที่โรงพยาบาลศิริราชใช้วิธีกำจัดทางโถส้วม การทดลองสอบความเปรอะเปื้อนรังสีในห้องผู้ป่วย พบว่าบริเวณพื้นห้องน้ำมีการเปรอะเปื้อนรังสีสูงกว่าบริเวณอื่น เป็นการยืนยันถึงความจำเป็นในการจัดหาห้องน้ำแยกให้แก่ผู้ป่วยดังกล่าว
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
เจาฑะเกษตริน, พจี, "การป้องกันรังสีในการรักษาโรคมะเร็งของต่อมธัยรอยด์ด้วยไอโอดีน-131" (1988). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 44387.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/44387