วารสารบรรณารักษศาสตร์ (Library Science Journal)
Abstract
ในการศึกษาถึงวิธีการวัดผลที่ใช้สำหรับวิชาบรรณารักษศาสตร์ ในระดับปริญญาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ผู้วิจัยได้มุ่งที่จะรวบรวมวิธีการวัดผลที่ใช้สำหรับวิชาบรรณารักษ์ศาสตร์ ตลอดจนศึกษาถึงความคิดเห็น ปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการวัดผล ของผู้สอนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย 5 แห่ง คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี) ซึ่งคาดว่าผลการวิจัยครั้งนี้ จะเป็นข้อมูลนำเสนอต่อผู้บริหารและผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ เพื่อนำไปวางแผนปรับปรุงการวัดผลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วางแนวทางการศึกษาโดยแบ่งรายวิชาบรรณารักษศาสตร์ ที่เปิดสอนตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยทั้ง 5 แห่ง ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเนื้อหา และกลุ่มทักษะ ทั้งนี้โดยอาศัยความคิดเห็นของผู้สอนต่อลักษณะเป็นเนื้อหาวิชา จุดประสงค์หลักของวิชา และกิจกรรมที่ผู้สอนใช้ประกอบลักษณะเนื้อหาวิชามีความสัมพันธ์กับวิธีการวัดผล และผู้สอนและนักศึกษามีความคิดต่อการแก้ไขปรับปรุงวิธีการวัดผลแตกต่างกัน การเก็บข้อมูลผู้วิจัยได้ส่งแบบสอบถามไปยังผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ จำนวน 42 ชุด และนักศึกษาวิชาเอกบรรณารักษศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคต้นปีการศึกษา 2526 จำนวน 108 ชุด และได้รับแบบสอบถามกลับมาจากผู้สอน 34 ชุดคิดเป็นร้อยละ 80.95 และจากนักศึกษา จำนวน 77 ชุด คิดเป็นร้อยละ 71.29 จากนั้นได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์ ด้วยค่าร้อยละ ค่ามัธยฐานทดสอบหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยค่า X² และวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างความคิดเห็นของผู้สอนและของนักศึกษาด้วยค่า Median test ผลจากการวิจัยโดยสรุปเป็น ดังนี้ ในด้านสถานภาพส่วนตัวของผู้สอนพบว่า ผู้สอนทั้งหมดมีวุฒิทางบรรณารักษศาสตร์ โดยผู้สอนจำนวนมากที่สุดร้อยละ 85.30 มีวุฒิปริญญาโท (บรรณารักษศาสตร์) ถ้าแยกตามวุฒิทางด้านการศึกษา มีผู้สอนเพียงร้อยละ 38.24 มีวุฒิทางด้านการศึกษา และมีผู้สอนถึงร้อยละ 44.12 เคยอบรมด้านการวัดผล แต่ถ้าจำแนกผู้สอนตามพื้นความรู้ทางด้านการวัดผลจะพบว่า ผู้สอนร้อยละ 50.00 มีพื้นความรู้ทางด้านการวัดผลอย่างเพียงพอ เมื่อนักศึกษาวิธีการที่ได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านการวัดผล พบว่า ผู้สอนจำนวนมากที่สุด จะศึกษาจากเอกสารด้วยตนเอง รองลงมาคือ เคยศึกษาเป็นวิชาเลือกและวิชาบังคับในสถานศึกษาเดิมสภาพทั่วไปของการวัดผล ทั้งจากคำตอบของผู้สอนและนักศึกษา พบว่าผู้สอนจากทุกมหาวิทยาลัยได้จัดทำและแจกหัวข้อวิชา (Course outline) ให้แก่ผู้เรียน พร้อมทั้งได้ชี้แจงจุดประสงค์ของวิชาวิธีการเรียนการสอน และการวัดผลของวิชานั้น ๆ ให้ผู้เรียนทราบโดยผู้สอนส่วนใหญ่จะแจกหัวข้อวิชา พร้อมทั้งชี้แจงในชั่วโมงแรกของการเรียน ทั้งผู้สอนและนักศึกษาส่วนมากตอบตรงกันว่าผู้สอนได้ระบุ การวัดผลในหัวข้อวิชา แต่ส่วนมากจะระบุอย่างกว้าง ๆ เฉพาะการแบ่งคะแนน สำหรับช่วงเวลาของการวัดผลซึ่งผู้สอนกำหนดมักเป็นวัดผลระหว่างเทอมและวัดผลปลายเทอม ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่เห็นว่ามีความเหมาะสมดีแล้ว แต่ผู้สอนเห็นว่าช่วงเวลาของการวัดผลที่เหมาะสมที่สุดน่าจะเป็น วัดตลอดเวลาในระหว่างที่เรียนพฤติกรรมที่ต้องการวัด และวิธีการวัดผล ทั้งผู้สอนและนักศึกษาเห็นว่าพฤติกรรมที่ผู้สอนการวัดมากที่สุดในกลุ่มเนื้อหา คือ ความรู้ความเข้าใจในวิชาที่เรียนและความสามารถในการนำไปใช้ ผู้สอนเห็นว่าพฤติกรรมที่ต้องการวัดน้อยที่สุดในกลุ่มนี้ คือ ทักษะของผู้เรียนในวิชานั้น ๆ แต่นักศึกษาเห็นว่าพฤติกรรมที่ผู้สอนวัดน้อยที่สุดคือ ทัศนคติของผู้เรียนต่อวิชานั้น ๆ ในกลุ่มทักษะ พฤติกรรมที่ผู้สอนต้องการวัดมากที่สุดคือ ความสามารถในการนำไปใช้ และทักษะของผู้เรียนในวิชานั้น ๆ พฤติกรรมที่ผู้สอนต้องการวัดน้อยที่สุดในกลุ่มนี้ คือ ความสามารถในการประเมินค่า แต่สำหรับนักศึกษาเห็นว่า พฤติกรรมที่ผู้สอนวัดน้อยที่สุด คือ ทัศนคติของผู้เรียนต่อวิชานั้น ๆ จากการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมที่ต้องการวัด และกลุ่มเนื้อหาวิชา พบว่าพฤติกรรมที่ต้องการวัดมีความสัมพันธ์ กับ เนื้อหาวิชาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงเป็นที่เชื่อว่าในการกำหนดพฤติกรรมที่ต้องการวัดในแต่ละวิชานั้น ผู้สอนได้ยึดเนื้อหาเป็นหลัก และในการวัดพฤติกรรมต่าง ๆ ในแต่ละกลุ่มวิชานั้น โดยส่วนใหญ่แล้วทั้งผู้สอนและนักศึกษาเห็นว่าวัดได้เหมาะสมในระดับปานกลาง สำหรับวิธีการวัดผลที่ผู้สอนใช้พบว่า ในกลุ่มเนื้อหาวิชาการวัดผล ที่ผู้สอนใช้มากที่สุดคือ การทดสอบ และการค้นคว้าทำรายงาน วิธีการวัดผลที่ผู้สอนใช้น้อยที่สุด คือ การใช้แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์ในกลุ่มทักษะ วิธีการวัดผลที่ผู้สอนใช้มากที่สุด คือ การทดสอบและการให้ปฏิบัติจริงวิธีการวัดผลที่ผู้สอนใช้น้อยที่สุดในกลุ่มนี้ คือ การใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ จากการวิเคราะห์ค่าคำตอบของนักศึกษาพบว่า วิธีกสนวัดผลมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาวิชาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 จากคำตอบของผู้สอนจะเห็นว่าในการเลือกวิชาการวัดผลนั้นผู้สอนไม่ได้พิจารณาจากเนื้อหาวิชา เป็นหลักสำคัญ ทั้งนี้เมื่อศึกษาจากองค์ประกอบที่ผู้สอนใช้ประกอบการเลือกวิธีการวัดผลนั้น พบว่า องค์ประกอบที่ผู้สอนจำนวนมากที่สุดนำมาประกอบการเลือกวิธีการวัดผลในระดับมากที่สุดคือ เนื้อหาวิชาและจุดประสงค์หลักของวิชา และวิธีการสอนก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ผู้สอนส่วนใหญ่นำมาประกอบการเลือกในระดับมาก จากผลการวิเคราะห์ แสดงให้เห็นว่าแนวเหตุผลที่ตั้งไว้มีความเป็นจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น จากการวิเคราะห์ ความคิดเห็นของผู้สอนและนักศึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงวิธีการวัดผลในแต่ละกลุ่มวิชานั้นพบว่า ในกลุ่มเนื้อหา ผู้สอนและนักศึกษามีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผู้สอนส่วนใหญ่ เห็นว่าวิธีการวัดผลในกลุ่มนี้ตั้งแก้ไขปรับปรุงในระดับน้อยถึงปานกลาง สำหรับนักศึกษาส่วนใหญ่เห็นว่าต้องแก้ไขปรับปรุงในระดับปานกลางถึงมาก สำหรับในกลุ่มทักษะนั้น ผู้สอนและนักศึกษามีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน จากผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า นักศึกษาต้องการแก้ไข ปรับปรุงการวัดผลเป็นบางวิชาเท่านั้น โดยเฉพาะวิชาในกลุ่มเนื้อหา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิธีการวัดผลที่ผู้สอนใช้ในกลุ่มนี้ส่วนมากแล้ว ผู้สอนจะใช้วิธีการวัดผลทางอ้อม เช่น การจัดอันดับคุณภาพของผู้เรียน การสังเกตฤติกรรมของผู้เรียน นอกเหนือจากการทดสอบและการค้นคว้าทำรายการ ดังนั้นวิธีการวัดผลที่นักศึกษาประสบกับตนเองโดยตรง จึงเป็นการขาดสอบเป็นส่วนมาก ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มทักษะที่นักศึกษาจะประสบด้วยตนเองทั้งการทดสอบและการได้ปฏิบัติจริง โดยลักษณะเช่นนี้จะเป็นเหตุให้ความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการแก้ไขปรับปรุงวิธีการวัดผลในสองกลุ่มวิชานี้แตกต่างกัน จากการศึกษาลักษณะต่าง ๆ ของแบบทดสอบที่ผู้สอนใช้พบว่า แบบทดสอบที่ผู้สอนใช้มากที่สุดทั้งสองกลุ่มวิชา คือ อัตนัยแบบตอบขยายความ รองลงมาได้แก่อัตนัยแบบตอบสั้น ๆ แบบทดสอบที่ผู้สอนใช้น้อยที่สุดทั้งสองกลุ่มวิชาคือ แบบปรนัยแบบจับคู่ ถึงแม้ว่าสองกลุ่มวิชาจะใช้แบบทดสอบในลักษณะที่คล้างคลึงกัน แต่ถ้าพิจารณาค่าร้อยละของการใช้ จะเห็นว่า กลุ่มทักษะใช้แบบทดสอบที่เป็นแบบปรนัยมากกว่ากลุ่มวิชา เมื่อวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะแบบทดสอบกับกลุ่มเนื้อหาวิชา พบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการวิเคราะห์ให้เห็นว่า การที่จะใช้แบบทดสอบอัตนัยหรือปรนัยกับรายวิชาใดนั้นต้องพิจารณาจากเนื้อหาวิชาเป็นหลัก ในเรื่องความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงแบบทดสอบลักษณะต่าง ๆ ทั้งผู้สอนและนักศึกษา มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งผู้สอนและนักศึกษาเห็นว่า ยังต้องแก้ไขในระดับปานกลาง นอกจากจะใช้วิธีการจัดผลหลายรูปแบบแล้วจากผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า ผู้สอนได้ใช้พฤติกรรมบางอย่างของผู้เข้าเรียนประกอบการวัดผล พฤติกรรมที่ผู้สอนใช้ประกอบการวัดผลในละดับมาก ได้แก่ ความสม่ำเสมอในการเข้าเรียน ความสม่ำเสมอในการส่งงาน พฤติกรรมที่ผู้สอนใช้ ประกอบการวัดผลในระดับปานกลาง ได้แก่ ความตั้งใจเรียนความขยันขวนขวายหาความรู้ความเต็มใจในการเข้าร่วมกิจกรรมและความสนใจซักถาม จากการศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาพบว่า เห็นด้วยกับการใช้พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ประกอบการวัดผลในระดับปานกลางถึงมาก ส่วนมากการแบ่งคะแนนระหว่างการวัดผลระหว่างเทอม และการวัดผลปลายเทอมที่ผู้สอนส่วนมากปฏิบัติอยู่จริงมากที่สุดคือ 40-60 รองลงมาคือ 50-50 สำหรับความคิดเห็นของผู้สอนและนักศึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงการแบ่งคะแนน เมื่อคำนวณด้วยค่า Median test พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผู้สอนเห็นว่าการแบ่งคะแนนที่ปฏิบัติอยู่นั้นเหมาะสมดีแล้ว ดังนั้น การแบ่งคะแนนระหว่างการวัดผลระหว่างเทอมและการวัดผลปลายเทอม ที่เหมาะสมที่สุด คือ 40-60 รองลงมา 50-50 สำหรับนักศึกษานั้นเห็นว่าการแบ่งคะแนนที่ผู้สอนปฏิบัตินั้นควรได้รับการแก้ไขปรับปรุงในระดับปานกลางถึงมากและเห็นว่าการแบ่งคะแนนที่เหมาะสมที่สุดควรเป็น 50-50 รองลงมาคือ 70-30 การแบ่งคะแนนระหว่างภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ผู้สอนปฏิบัติอยู่จริง ผู้สอนส่วนใหญ่จะแบ่งคะแนนเป็น 60-40 และ 50-50 มากที่สุด และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีผู้สอนอีกจำนวนหนึ่ง คือร้อยละ 74.64 แบ่งคะแนนโดยพิจารณาจากเนื้อหาของวิชานั้น ๆ เป็นเกณฑ์ จากการทดสอบค่าความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงการแบ่งคะแนนระหว่างภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ พบว่าทั้งผู้สอนและนักศึกษามีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผู้สอนเห็นว่าการแบ่งคะแนนที่ใช้อยู่เหมาะสมแล้วในขณะที่นักศึกษาเห็นว่าการแบ่งคะแนนที่เหมาะสมที่สุดควรเป็น 40-60 รองลงมาคือ 50-50 แต่เมื่อพิจารณาการแบ่งคะแนนโดยแยกตามมหาวิทยาลัย แต่จะเห็นว่าการแบ่งคะแนนในแต่ละมหาวิทยาลัย มีความแตกต่างกัน หรือแม้แต่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็มีการแบ่งคะแนนที่แตกต่างกัน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ทำให้ร้อยละของคำตอบ ในแต่ละกลุ่มคะแนนกระจายมาก และไม่กลุ่มคะแนนใดที่ร้อยละของคำตอบสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ มากปัญหาด้านการวัดผล ผู้สอนส่วนใหญ่มีปัญหาเกี่ยวกับการวัดผลให้เหมาะสมกับวิชาที่สอน ปัญหาโอกาสในการวัดผลระหว่างภาคเรียนมีน้อย เวลาจำกัดเนื้อหาที่สอนมาก ผู้สอนมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้วิธีการวัดผลแบบต่าง ๆ ไม่มีความชำนาญในการสร้างแบบทดสอบ การเลือกแบบทดสอบให้เหมาะสมกับเนื้อหาวิชา ผู้สอนส่วนใหญ่มีปัญหาในระดับปานกลาง สำหรับนักศึกษาพบว่ามีปัญหาที่ปประสบในระดับมากคือ ผู้สอนเน้นการสอบมากกว่าวิธีอื่น ๆ ผู้สอนเน้นวัดความรู้ความจำมากกว่าพฤติกรรมอื่น ๆ ข้อเสนอแนะที่ได้จากแบบสอบถามของการวิจัยครั้งนี้ เป็นดังนี้คือ ผู้สอนเสนอแนะว่า ผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ควรมีความรู้ทางด้านการวัดผลเป็นอย่างดี ควรเปิดอบรมเชิงปฏิบัติกสนเรื่องการวัดผลในวิชาบรรณารักษศาสตร์ ผู้สอนควรตั้งจุดมุ่งหมายอย่างเด่นชัด และให้เลือกวิธีการวัดผลให้เหมาะสมกับลักษณะเนื้อหาวิชา และควรใช้พฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้เรียนประกอบการวัดผลด้วย ไม่ควรมุ่งคะแนนจากการสอบเพียงอย่างเดียว สำหรับข้อเสนอแนะของนักศึกษาเป็นดังนี้คือ ผู้สอนควรชี้แจงจุดมุ่งหมายของการวัดผลให้นักศึกษาเข้าใจ ควรวัดพฤติกรรมด้านความสามารถปฏิบัติได้มากกว่า ความรู้ความจำ และการวัดผลใช้หลายวิธีร่วมกันและเน้นวิธีการวัดผลแบบให้ปฏิบัติจริงมากขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นต่อวิธีการวัดผลของวิชานั้น ๆ ด้วยจากผลการวิจัยดังกล่าวมาแล้วชี้ให้เห็นถึงการวัดผลวิชาการบรรณารักษศาสตร์ในระดับปริญญาบัณฑิต ดังนี้ 1.ผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทุกแห่งส่วนมาก จะจบการศึกษาทางวิชาชีพโดยตรง มีผู้สอนส่วนน้อยที่มีวุฒิทางด้านการศึกษา และได้รับการอบรมทางด้านการวัดผล ถึงแม้ว่าจะมีผู้สอนถึงครึ่งหนึ่งที่ตอบว่ามีพื้นความรู้ทางด้านการวัดผลอย่างเพียงพอ แต่วิธีการที่ได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านการวัดผล ผู้สอนส่วนใหญ่ใช้วิธีศึกษาจากเอกสารด้วยตนเอง 2.สภาพทั่วไปของการวัดผล ( course outline ) ได้รวมการวัดผลสำหรับวิชานั้น ๆ ในหัวข้อวิชา แต่เป็นการระบุอย่างกว้าง ๆ ไม่ละเอียด และใช้วิธีการวัดผลหลายวิธีแต่ขาดการชี้แจงให้นักศึกษาเข้าใจอย่างเพียงพอ จึงทำให้นักศึกษาไม่เข้าใจการวัดผลของผู้สอนเท่าที่ควรเป็นเหตุให้ มีความคิดเห็นต่อการวัดผลของผู้สอนแตกต่างกันอกไปจากความคิดเห็นของผู้สอนในบางเรื่อง 3.ผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ในแต่ละมหาวิทยาลัยขาดการพบปะสังสรรค์ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในวิชาที่สอนจึงทำให้การวัดผลของในแต่ละมหาวิทยาลัยแตกต่างกันออกไป หรือแม้แต่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันผู้สอนก็มีการวัดผลที่แตกต่างกัน และมองเห็นความสำคัญระหว่าง ภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติที่แตกต่างกันด้วย ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะดังนี้ คือ 1.ผู้สอนควรได้จัดทำหัวข้อวิชาในวิชาที่สอนให้สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการวัดผลควรระบุอย่างละเอียดทั้งการแบ่งคะแนนช่วงเวลาการวัดผล วิธีการวัดผล องค์ประกอบอื่น ๆ ที่ใช้ประกอบการวัดผล พร้อมทั้งชี้แจงขั้นตอนการวัดผลให้นักศึกษาทราบอย่างละเอียด 2.ผู้สอนควรแสวงหาความรู้ทางด้านการวัดผลเพิ่มเติม อาจศึกษาจากเอกสารด้วยตนเอง หรือ เข้ารับการอบรมทางด้านการวัดผลก็ได้ นอกจากนี้ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ ควรจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการวัดผล แก่ผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ในหน่วยงานของตน หรือ อาจสนับสนุนให้ผู้สอนได้รับความรู้ทางด้านการวัดผล 3.สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย โดยชมรมผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ ควรทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการหรือ จัดสัมมนา เกี่ยวกับการวัดผลในวิชาบรรณารักษศาสตร์ ให้แก่ผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ในประเทศไทย 4.ผู้บริหาร ควรมองเห็นความสำคัญของการวัดผล ทั้งนี้เพราะเมื่อหน่วยงานของท่านผลิตบัณฑิตทางบรรณารักษศาสตร์ออกไปนั้นนอกจาก จะทำหน้าที่บรรณารักษ์แล้ว บัณฑิตส่วนหนึ่งยังไปทำหน้าที่ผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ ซึ่งความรู้ทางด้านการวัดผลมีความจำเป็นมาก ดังนั้น จึงควรเปิดสอนวิชาการวัดผลในวิชาบรรณารักษศาสตร์ หรือเปิดสอนวิชาการสอนวิชาการสอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ โดยระบุการวัดผลเป็นหัวข้อสำคัญ ในหลักสูตรวิชาบรรณารักษศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น ๆ ซึ่งอาจจะเปิดเป็นวิชาเลือกหรือวิชาบังคับก็ได้ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เลือกเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคต 5.ผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ในแต่ละมหาวิทยาลัยที่สอนมา วิชาเดียวกันควรมีโอกาสได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ด้านการวัดผลในวิชานั้น ๆ และร่วมกันหาแนวทางปรับปรุงการวัดผลในวิชานั้น ๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้ผู้สอนในมหาวิทยาลัยเดียวกันควรได้ประชุมปรึกษากันเกี่ยวกับการวัดผลวิชาบรรณารักษศาสตร์ในสถาบันของตน ซึ่งเป็นแนวทางที่จะสามารถปรับปรุงการวัดผลวิชาบรรณารักษศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
First Page
38
Last Page
44
Digital Object Identifier (DOI)
10.58837/CHULA.LSJ.5.1.4
Recommended Citation
แม่นมาตย์, ลำปาง
(1985)
"วิธีการวัดผลที่ใช้สำหรับวิชาบรรณารักษศาสตร์ ในระดับปริญญาบัณฑิตของมหาวิทยาลัย ในประเทศไทย,"
วารสารบรรณารักษศาสตร์ (Library Science Journal): Vol. 5:
Iss.
1, Article 4.
DOI: https://doi.org/10.58837/CHULA.LSJ.5.1.4
Available at:
https://digital.car.chula.ac.th/lsj/vol5/iss1/4