Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ลักษณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานคร ที่จะเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Characteristics of mathayom suksa six students in Bangkok Metropolis entering higher education institutions

Year (A.D.)

1987

Document Type

Thesis

First Advisor

พรชุลี อาชวอำรุง

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

อุดมศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1987.458

Abstract

วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อศึกษาลักษณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานครที่จะเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาโดยทั่วไป และจำแนกตามแผนการเรียนสายวิทยาศาสตร์และแผนการเรียนสายศิลปะ ในลักษณะที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว แผนการศึกษาและอาชีพ ภูมิหลังของครอบครัว ความคิดเห็นทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และแนวโน้มทางการดำเนินชีวิต พร้อมทั้งศึกษาเปรียบเทียบลักษณะดังกล่าวของนักเรียนทั้งสองแผนการเรียน วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานครที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2529 ในแผนการเรียนสายวิทยาศาสตร์ และแผนการเรียนสายศิลปะ รวม 378 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบเลือกตอบ เติมคำ และมาตราส่วนประเมินค่ารวม 45 คำถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้คอมพิวเตอร์หาค่าร้อยละ ไคสแควร์ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที รายงานผลการวิจัยในรูปความเรียงตาราง แผนภูมิ พร้อมทั้งสรุป อภิปราย และเสนอแนะ ผลการวิจัย จากการวิจัยพบว่า 1. ลักษณะทั้ง 4 ด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในกรุงเทพมหานครสรุปได้ดังนี้ โดยทั่วไปนักเรียนส่วนใหญ่เป็นหญิงอายุ 17 ปี มีผลการเรียนระดับปกติ ปานกลาง ไม่คร่ำเคร่งในการเรียน ชอบเรียนวิชาพลศึกษา ขอบอ่านหนังสือพิมพ์รายวันมีความคิดเห็นว่าการได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยมีความหมายมาก สถาบันที่มุ่งหวังศึกษาต่อมากที่สุดคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาที่มุ่งหวังศึกษาต่อมากที่สุดคือนิเทศศาสตร์ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วต้องการทำงานในกรุงเทพมหานคร เมื่อจำแนกตามแผนการเรียน พบว่า นักเรียนแผนการเรียนสายวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นหญิงอายุ 17 ปี มีผลการเรียนระดับปกติปานกลางไม่คร่ำเคร่งในการเรียน ชอบเรียนวิชาพลศึกษา ชอบอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน มีความเห็นว่าการได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยมีความหมายมาก สถาบันที่มุ่งหวังศึกษาต่อมากที่สุดคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาที่มุ่งหวังต่อ คือ เภสัชศาสตร์ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วต้องการทำงานในกรุงเทพมหานคร ส่วนนักเรียนแผนการเรียนสายศิลปะส่วนใหญ่เป็นหญิง 17 ปี มีผลการเรียนต่ำกว่าระดับปกติปานกลางไม่คร่ำเคร่งในการเรียน ชอบเรียนวิชาสังคมศึกษา ชอบอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน มีความเห็นว่า การได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมีความหมายมาก สถาบันที่มุ่งหวังต่อมากที่สุดคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาที่มุ่งหวังต่อคือ นิเทศศาสตร์ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วต้องการทำงานในกรุงเทพมหานคร 2. เปรียบเทียบลักษณะทั้ง 4 ด้านของนักเรียน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 ในเรื่องการชอบอ่านหนังสือ ประเภทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวคือนักเรียนแผนการเรียนสายวิทยาศาสตร์ชอบอ่านมากกว่านักเรียนแผนการเรียนสายวิทยาศาสตร์ต้องการศึกษาต่อสาขาวิชาเภสัชศาสตร์ ส่วนนักเรียนแผนการเรียนสายศิลปะ ต้องการศึกษาต่อสาขาวิชานิเทศศาสตร์ ผลการวิจัยที่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 คือสถานที่ต้องการทำงานเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว พบว่า นักเรียนทั้งสองแผนการเรียนต้องการทำงานในกรุงเทพมหานครแต่นักเรียนแผนการเรียนสายศิลปะต้องการมากกว่า เสนอแนะ ก. เพื่อประยุกต์ 1. นักเรียนไม่ควรเรียนต่อในมหาวิทยาลัยทั้งหมดทันทีที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย บิดามารดาควรหาทางให้ประกอบอาชีพก่อนแล้วหาโอกาสศึกษาเพิ่มเติมภายหลัง ครู-อาจารย์ควรแนะแนวอาชีพที่เหมาะสมให้ด้วย 2. ครู-อาจารย์ควรเตรียมการสำหรับให้นักเรียนศึกษาต่อในสายอาชีพระดับวิทยาลัยบ้าง ไม่ควรมุ่งเน้นให้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยอย่างเดียว 3. ครู-อาจารย์ควรเปลี่ยนวิธีสอนโดยมุ่งเน้นการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ให้มีทักษะในการศึกษาต่อในระบบมหาวิทยาลัยเปิด และการใช้ชีวิตที่ประสบความสำเร็จในมหาวิทยาลัยเปิด เพื่อแก้ปัญหาการมุ่งเข้าศึกษาในระบบมหาวิทยาลัยปิด ข. เพื่อการวิจัยต่อ 1. ควรมีการศึกษาระยาวเกี่ยวกับลักษณะของนักเรียนปีละครั้งเพื่อเป็นพื้นฐานของความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา 2. ควรมีการพัฒนารูปแบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ เพื่อการเชื่อมโยงระหว่างมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา

Share

COinS