Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความรู้ความเข้าใจทางจริยธรรมเกี่ยวกับพฤติกรรมต่อตนเอง ของวัยรุ่นติดสิ่งเสพติดชนิดร้ายแรงที่เข้ารับการบำบัดรักษา ในสถานบำบัดรักษากรุงเทพมหานคร

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Moral cognition concerning self-directed behaviors of severe drug user adolescents in narcotic clinics, Bangkok metropolis

Year (A.D.)

1991

Document Type

Thesis

First Advisor

พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

จิตวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1991.771

Abstract

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและสำรวจความรู้ความเข้าใจทางจริยธรรม เกี่ยวกับพฤติกรรมต่อตนเอง ของวัยรุ่นติดสิ่งเสพติดชนิดร้ายแรงในสถานบำบัดรักษากรุงเทพมหานคร เพื่อเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจทางจริยธรรมตามตัวแปรอิสระ 5 ตัวแปรได้แก่ ระดับการศึกษา ระยะเวลาที่ติดยาเสพติด ระยะเวลาที่บำบัดรักษา อาชีพหลักของครอบครัว และจำนวนครั้งที่บำบัดรักษา กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นติดเฮโรอีน อายุระหว่าง 13-21 ปี ที่มารับการบำบัดรักษาในศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดของกรุงเทพมหานคร จำนวน 180 คน สุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้พัฒนาขึ้นตามแนวทฤษฎีเจตคติของฟิชไบน์ สถิติที่ใช้คือ ค่า (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและการเปรียบเทียบพหุคูณด้วยวิธีของเซฟเฟ (Scheffe') ผลการวิจัยพบว่า 1. พฤติกรรมต่อตนเองที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีความรู้ความเข้าใจว่าเป็นพฤติกรรมที่ดี ถูกและควรอย่างมาก เป็นจำนวน 3 พฤติกรรม ได้แก่ การมีความขยันหมั่นเพียร การมีวินัยในตนเอง และการตั้งมาตรฐานของตนเอง ส่วนพฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีความรู้ความเข้าใจว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ผิดและไม่ควรอย่างมากคือ การลุ่มหลงอบายมุข สำหรับการลงโทษตนเองและการให้คุณค่าแก่ตนเองเป็นพฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างไม่สามารถตัดสินได้ว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิดควรหรือไม่ควร 2. ตัวแปรอิสระทั้ง 5 ตัวแปร ได้แก่ ระดับการศึกษา ระยะเวลาที่ติดยาเสพติด ระยะเวลาที่เข้ารับการบำบัดรักษา อาชีพหลักของครอบครัว และจำนวนครั้งที่เข้ารับการรักษา มีนัยสำคัญต่อความรู้ความเข้าใจทางจริยธรรมเกี่ยวกับพฤติกรรมต่อตนเองของกลุ่มตัวอย่าง ในระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติ (P <.05 หรือต่ำกว่า) โดยที่ระดับการศึกษาเป็นตัวแปรที่มีนัยสำคัญต่อความรู้ความเข้าใจทางจริยธรรมของกลุ่มตัวอย่างมากที่สุด รองลงมาเป็นระยะเวลาที่ติดยาเสพติด ระยะเวลาที่เข้ารับการบำบัดรักษาและจำนวนครั้งที่เข้ารักการบำบัดรักษา ส่วนอาชีพหลักของครอบครัวเป็นตัวแปรที่มีนัยสำคัญต่อความรู้ความเข้าใจทางจริยธรรมน้อยที่สุด

Share

COinS