Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การใช้ประโยชน์ของน้ำเสียบึงมักกะสันเพื่อการปลูกผักคะน้า (Brassica oleracea L.var alboglabra Bailey) ด้วยวิธีปลูกพืชในน้ำ

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Utilization of wastewater from makasan reservoir for chinese kale (Brassica oleracea L.var alboglabra Bailey) cultivation by hydroponics

Year (A.D.)

1990

Document Type

Thesis

First Advisor

ธรรมนูญ โรจนะบุรานนท์

Second Advisor

กระบวน วัฒนปรีชานนท์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

วิทยาศาสตร์สภาวะแวดล้อม

DOI

10.58837/CHULA.THE.1990.623

Abstract

การใช้ประโยชน์ของน้ำเสียบึงมักกะสันเพื่อการปลูกผักคะน้า (Brassica oleracea L. var alboglabra Bailey) ด้วยวิธีปลูกพืชในน้ำนั้นพิจารณาจากความเป็นไปได้ในการนำน้ำเสียมาปลูกพืชในน้ำและปริมาณธาตุอาหารรวมทั้งโลหะหนักบางชนิดที่ตกค้างในผักคะน้า ผลการศึกษาการเจริญเติบโตของผักคะน้าตำรับการทดลองต่างๆ พบว่าพืชมีการดูดซึมธาตุอาหารต่างๆ จากน้ำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโตได้แต่ผลผลิตของผักคะน้าที่ปลูกในน้ำบึงมักกะสันได้ต่ำกว่า ผักคะน้าที่ปลูกในสารละลาย HOAGLAND ส่วนผลการวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารหลักและรองในผักคะน้าพบว่ามีปริมาณใกล้เคียงกันในทุกตำรับการทดลอง ตะกั่วถูกสะสมไว้ในรากและลำต้นของผักคะน้าได้ใกล้เคียงกันมีค่าประมาณ 0.58 พีพีเอ็ม ส่วนแมงกานีสนั้นสะสมไว้ที่รากมากกว่าลำต้นซึ่งมีปริมาณสูงสุดประมาณ 5.19 พีพีเอ็มซึ่งถือว่ามีค่าต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าที่ทำให้เกิดความเป็นพิษต่อพืช (500 พีพีเอ็ม) ผักคะน้าสามารถสะสมเหล็กไว้ได้ในปริมาณเล็กน้อย เท่ากับ 5.96 พีพีเอ็ม ผลการวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารหลักและรอง (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปตัสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และแมงกานีส) ในน้ำเมื่อสิ้นสุดการทดลอง (8 สัปดาห์) พบว่าทุกตำรับการทดลองมีปริมาณธาตุอาหารลดน้อยลงโดยเฉพาะปริมาณแอมโมเนียม-ไนโตรเจน มีค่าลดลงจนตรวจไม่พบ เมื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโตในรูปของน้ำหนักสด น้ำหนักแห้ง ของผักคะน้าที่ปลูกในน้ำบึงมักกะสันที่เปลี่ยนทุก 2 สัปดาห์กับน้ำบึงมักกะสันที่เติมปุ๋ยในอัตรา 5 และ 22 มิลลิลิตร/ลิตรปรากฎว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.05)

Share

COinS