Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Year (A.D.)

2024

Document Type

Independent Study

First Advisor

ศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์

Faculty/College

Faculty of Law (คณะนิติศาสตร์)

Degree Name

ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

กฎหมายเศรษฐกิจ

DOI

10.58837/CHULA.IS.2024.152

Abstract

เอกัตศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเพื่อทราบถึงความเป็นมาและสถานการณ์ในปัจจุบันของการคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างจะยุติการสื่อสารนอกเวลางานจากนายจ้างในประเทศไทย เพื่อทราบถึงขอบเขตของกฎหมายและแนวทางสากลเกี่ยวกับสิทธิที่ลูกจ้างจะยุติการสื่อสารนอกเวลางานกับนายจ้าง และเพื่อทราบแนวทางที่เหมาะสมในการปรับใช้สิทธิที่ลูกจ้างจะยุติการสื่อสารนอกเวลางานกับนายจ้างในกฎหมายไทย เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา(โควิด 19) ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในการใช้ชีวิตประจำวัน และการขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจผ่านเทคโนโลยีออนไลน์เพิ่มขึ้นแบบมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการในปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้การปฏิบัติงานนอกสถานที่ทำงานร่วมกับการดำเนินการบริหารธุรกิจ รัฐบาลไทยได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับ 8) พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นการเพิ่มกฎหมายมาตรา 23/1 ที่เกี่ยวข้องกับการที่นายจ้างให้ลูกจ้างหรือพนักงานสามารถปฏิบัติงานนอกสถานที่ทำงาน มาตรา 23/1 ที่เพิ่มมานี้ในวรรค 3 ได้กล่าวถึงสิทธิของลูกจ้างที่จะยุติการสื่อสารนอกเวลางานจากนายจ้าง (Right to disconnect) ซึ่งกล่าวถึงหลักการไว้อย่างสั้น ๆ ไม่ได้ระบุแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน ทำให้เกิดความหลากหลายในการนำมาใช้ปฏิบัติในองค์กรธุรกิจตามความเข้าใจของนายจ้างซึ่งทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับลูกจ้าง ดังนั้นจึงควรกำหนดแนวทางในการปรับใช้สิทธิที่ลูกจ้างจะยุติการสื่อสารนอกเวลางานกับนายจ้างให้มีความชัดเจนจากการศึกษาเอกัตศึกษานี้แนวทางในการพัฒนาของกฎหมายไทยในเรื่องสิทธิของลูกจ้างที่จะยุติการสื่อสารนอกเวลางานจากนายจ้างมีดังนี้ ควรมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าสิทธิของลูกจ้างที่จะยุติการสื่อสารนอกเวลางานจากนายจ้างจะถูกบังคับใช้ในองค์กรที่มีจำนวนลูกจ้างตั้งแต่ 50 ตนขึ้นไป ในข้อนี้สามารถอ้างอิงจากเกณฑ์การแบ่งขนาดธุรกิจกันโดยกระทรวงอุตสาหกรรมที่กำหนดว่าองค์กรธุรกิจขนาดกลางจะมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปแต่ไม่เกิน 200 คน และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 45 ซึ่งวางหลักว่าให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปสามารถจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างได้ เพื่อลดปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ต้องมีการกำหนดขอบเขตของการใช้สิทธินี้ให้มีความชัดเจนมากขึ้นงโดยการนำขอบเขตในการใช้สิทธิของประเทศออสเตรเลียที่ปรับใช้ตามความสมเหตุสมผลของ เหตุผลในการติดต่อ วิธีการติดต่อที่เกิดขึ้น ลูกจ้างได้รับค่าตอบแทน เมื่อลูกจ้างสามารถปฏิบัติงานได้ในช่วงเวลาที่ได้รับการติดต่อ หรือลูกจ้างสามรถทำงานนอกเวลาเพิ่มเติมจากเวลางานปกติ บทบาทกับความรับผิดชอบของลูกจ้างในองค์กร และสถานการณ์ส่วนบุคคลของพนักงาน ซึ่งจะทำให้เกิดความสมดุล ได้สัดส่วน เป็นธรรมแก่นายจ้างอีกด้วย มีการกำหนดค่าชดเชยชัดเจนเมื่อมีการละเมิดสิทธิของลูกจ้างที่จะยุติการสื่อสารนอกเวลางานจากนายจ้าง การกำหนดค่าชดเชยก็ควรให้เป็นไปตามมาตรา 61 62 และ 63 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และเมื่อนายจ้างไม่ชดเชยค่าเสียเวลา นายจ้างจะได้บทลงโทษใโดยอ้างอิงจากมาตรา 144 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 สุดท้ายให้นายจ้างยึดหลักธรรมาภิบาลองค์กรซึ่งให้ความสำคัญกับสิทธิของลูกจ้างโดยกำหนดให้เป็นข้อบังคับในการทำงานซึ่งมีผลบังคับใช้กับนายจ้างและลูกจ้าง ในเรื่องความโปร่งใส ที่ทำให้ลูกจ้างเข้าใจสิทธิของตนเองได้ดีขึ้น รวมถึงเรื่องความยุติธรรม ที่ การมีกระบวนการในการแก้ไขปัญหาที่เป็นธรรม และการให้โอกาสลูกจ้างได้แสดงความคิดเห็น

Share

COinS
 
 

To view the content in your browser, please download Adobe Reader or, alternately,
you may Download the file to your hard drive.

NOTE: The latest versions of Adobe Reader do not support viewing PDF files within Firefox on Mac OS and if you are using a modern (Intel) Mac, there is no official plugin for viewing PDF files within the browser window.