Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ ต่อการป้องกันความดันโลหิตสูงในกลุ่มคนอายุ 30-64 ปี ในเขตถงหลู่ ประเทศจีน: การศึกษาแบบภาคตัดขวาง

Year (A.D.)

2023

Document Type

Thesis

First Advisor

Narumol Bhummaphan

Faculty/College

College of Public Health Sciences (วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข)

Degree Name

Master of Public Health

Degree Level

Master's Degree

Degree Discipline

Public Health

DOI

10.58837/CHULA.THE.2023.1336

Abstract

Introduction: The Global Burden of Disease study shows that poor blood pressure control remains one of the leading risk factors for global burden and death. Most of the general population had a good understanding of hypertension and satisfactory attitudes, but the participant's level of practice was not high. In China, about 270 million people have hypertension, and in Zhejiang, the prevalence of hypertension is higher than the national average. Therefore, knowledge, attitude, and practice toward hypertension play a crucial role in hypertension prevention. Objective: This study aims to assess the level of knowledge, attitude, and practice towards the prevention of hypertension and determine the associated factors in Tonglu County, Zhejiang, China. Methodology: This cross-sectional online survey study used convenience sampling and snowball sampling techniques, involving 439 participants aged 30-64 from Tonglu County. The validity of the questionnaire was assessed by three experts. The reliability was tested with Cronbach’s alpha, which was 0.763, and the association was analyzed by SPSS. Descriptive statistics, the chi-square test, and binary logistic regression were used to analyze the data. Results: 57.2% were female, and 38.7% were aged 45-54. 38.5% of the participants got a junior high or below education. 70.4% of respondents had not been diagnosed with any diseases by a doctor, and 57.4% did not know their recent blood pressure. 59% of the participants had poor knowledge, 55.6% of the participants had a negative attitude, 58.8% of the participants had a poor level of practice. The older age group of respondents (55-64 years old) (OR: 1.925, 95%CI: 1.058, 3.501), education respondents with junior high school or below education (OR: 3.663, 95%CI: 1.872, 7.166), and who do not know their recent blood pressure (OR: 2.078, 95%CI: 1.347, 3.207) are more likely to have poor knowledge. Respondents with junior high school or below education (OR: 2.627, 95%CI: 1.390, 4.966), farmers (OR: 2.380, 95%CI: 1.032, 5.490), and who do not know their recent blood pressure (OR: 1.816, 95%CI: 1.191, 2.767) have a significantly negative attitude. Males (OR: 2.766, 95% CI: 1.739, 4.398) and those who do not know their recent blood pressure (OR: 2.053, 95% CI: 1.339, 3.147) are significantly more likely to engage in poor practice. Conclusion: The finding revealed that most of the participants had poor knowledge, negative attitude, and poor practice towards the prevention of hypertension. The reason might be associated with sex, age, education, and occupation. In addition, healthcare professionals should focus on males, the elderly, people with lower levels of education, and people who do not regularly measure their blood pressure. Therefore, KAP-raising programs are needed to educate people about the prevention of hypertension.

Other Abstract (Other language abstract of ETD)

บทนำ การศึกษาสภาวะสุขภาพทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าการควบคุมความดันโลหิตที่ไม่ดียังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงชั้นนำของการเสียชีวิตทั่วโลก โดยพบว่าประชากรทั่วไปส่วนใหญ่มีความเข้าใจเรื่องความดันโลหิตสูงและมีทัศนคติที่น่าพอใจเป็นอย่างดี แต่ระดับการปฏิบัตินั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงและมีการปฏิบัติไม่เหมาะสม นอกจากนี้พบว่าในประเทศจีน มีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงประมาณ 270 ล้านคน โดยเฉพาะในมณฑลเจ้อเจียง ความชุกของโรคความดันโลหิตสูงนั้นมีค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ ดังนั้นความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง วัตถุประสงค์ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติต่อการป้องกันความดันโลหิตสูง และพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องในเขตถงหลู่ มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน วิธีการวิจัย การศึกษาแบบสำรวจออนไลน์แบบภาคตัดขวางนี้ใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมดจำนวน 439 คน ที่มีอายุระหว่าง 30-64 ปี จากเขตถงหลู่ โดยความถูกต้องของแบบสอบถามได้รับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวนสามคน และมีค่าการทดสอบความน่าเชื่อถือซึ่งเท่ากับ 0.763 และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้วิธีทาง SPSS ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติคแบบไบนารี เพื่อใช้ในการประเมินความรู้ในการป้องกันความดันโลหิตสูงโดยแบ่งการวัดความรู้ออกเป็นในระดับต่ำและระดับดี ส่วนทัศนคตินั้นมีการจัดอยู่ในระดับทัศนคติเชิงลบหรือทัศนคติเชิงบวก และการปฏิบัติถูกออกเป็นในระดับต่ำและระดับดีโดยค่ามัธยฐาน ผลการทดลอง ในบรรดาผู้เข้าร่วมการศึกษาที่มีอายุระหว่าง 30-64 ปี พบว่า 57.2% เป็นผู้หญิงและผู้เข้าร่วม 38.7% มีอายุระหว่าง 45-54 ปี ผู้เข้าร่วม 38.5% สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่า 60.8% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีรายได้ส่วนบุคคลต่อปีมากกว่า 40,000 หยวน 70.4% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคใด ๆ 16.9% ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และ 57.4% ไม่ทราบความดันโลหิตล่าสุดของตนเอง ผลการวิจัยพบว่าคะแนนมัธยฐานของความรู้คือ 10 พบว่าผู้เข้าร่วม 59% มีความรู้ในระดับที่ต่ำ และ 41% มีความรู้ดี ในส่วนของทัศนคตินั้น มีคะแนนเฉลี่ยของทัศนคติคือ 39 พบว่าผู้เข้าร่วม 55.6% มีทัศนคติเชิงลบ และ 44.4% มีทัศนคติเชิงบวก ส่วนคะแนนเฉลี่ยของการปฏิบัติตนคือ 24 โดยพบว่าผู้เข้าร่วม 58.8% มีระดับการปฏิบัติตนที่ไม่ดี และ 41.2% มีระดับปฏิบัติตนที่ดี นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติคแบบไบนารี พบว่า กลุ่มผู้สูงอายุของผู้ตอบแบบสอบถาม (อายุ 55-64 ปี) (OR: 1.925, 95%CI: 1.058, 3.501) ที่มีระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่าการศึกษา (OR: 3.663, 95%CI: 1.872, 7.166) และการศึกษาระดับมัธยมปลาย (OR: 2.058, 95%CI: 1.105, 3.830) และผู้ที่ไม่ทราบการวัดความดันโลหิตล่าสุดของตนเองนั้น (OR: 2.078, 95%CI: 1.347, 3.207) มีแนวโน้มที่จะมีความรู้ในระดับต่ำมากกว่า นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่า (OR: 2.627, 95%CI: 1.390, 4.966) การศึกษาระดับมัธยมปลาย (OR: 2.181, 95%CI: 1.192, 3.989) และกลุ่มอาชีพเกษตรกร (OR: 2.380, 95% CI: 1.032, 5.490) และผู้ที่ไม่ทราบการวัดความดันโลหิตล่าสุด (OR: 1.816, 95%CI: 1.191, 2.767) มีทัศนคติเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ พบว่าในเพศชาย (OR: 2.766, 95% CI: 1.739, 4.398) และผู้ที่ไม่ทราบการวัดความดันโลหิตล่าสุดของตนเอง (OR: 2.053, 95% CI: 1.339, 3.147) มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในการปฏิบัติที่ไม่ดีมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สรุปผลการทดลอง ผลการวิจัยพบว่าผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่มีความรู้ในระดับต่ำ มีทัศนคติเชิงลบ และปฏิบัติต่อการป้องกันความดันโลหิตสูงในระดับที่ต่ำ โดยมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับเพศ อายุ การศึกษา และอาชีพ นอกจากนี้ การสนับสนุนทางด้านสุขภาพทางการแพทย์ควรเพิ่มระดับไปที่กลุ่มเพศชาย กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่า และผู้ที่ไม่ได้วัดความดันโลหิตเป็นประจำ ดังนั้นการประเมินความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติต่อการป้องกันความดันโลหิตสูงในที่สาธารณะจึงมีความสำคัญ และจำเป็นต้องมีโครงการเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันความดันโลหิตสูงที่มากขึ้น

Download

Included in

Public Health Commons

Share

COinS
 
 

To view the content in your browser, please download Adobe Reader or, alternately,
you may Download the file to your hard drive.

NOTE: The latest versions of Adobe Reader do not support viewing PDF files within Firefox on Mac OS and if you are using a modern (Intel) Mac, there is no official plugin for viewing PDF files within the browser window.